The Blog

s

4 โรคยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่ เป็นแล้วหายยาก

s

สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวเองก่อนนะค่ะ ผิง สาริณี  โชติวงศ์ชาคร เจ้าของเว็บ SalineeChot  ช่วงนี้ผิงได้มีโอกาสอ่านหนังสือ พัฒนาตนเองเล่มหนึ่ง (The Magic of thinking  ของ David J.Schwartz) แล้วไปเจอบทความที่น่าสนใจเอามาขยายความต่อในความหมายของผิงเองนะค่ะ หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างไร ให้ไปสู่ความสำเร็จ โดยหัวข้อในวันนี้ที่ผิงสรุปมา 4 โรคยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่ เป็นแล้วหายยาก มันเกี่ยวกับโรคแห่งความล้มเหลว!

ในความหมายโรคแห่งความล้มเหลวก็คือ โรคชอบแก้ตัวของกลุ่มคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นเองค่ะ เขาบอกว่าโรคยอดฮิตของคนส่วนใหญ่นั้น มีอยู่ 4 โรค มีโรคอะไรบ้าง

  1. โรคอ้างเรื่อง สุขภาพ คนส่วนใหญ่ใช้ข้ออ้าง เรื่องสุขภาพ ไม่ดีในรูปแบบเป็นร้อยเป็นพันชนิด มาอ้าง ว่าเป็นเพราะสุขภาพไม่ดีเลยทำสิ่งนั้นไม่ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าคนบนโลกที่เกิดมาทุกคนต้องมีสิ่งผิดปกติอยู่บ้าง ในร่างกาย คนบางคนยอมจำนนต่อโรคนั้นโดยสิ้นเชิงในขณะที่ คนบางส่วนยอมบางส่วน แต่ผู้ที่ประสบผลสำเร็จนั้นกลับไม่ยอมจำนนต่อความบกพร่องดั่งกล่าว

วิธีแก้ โรค อ้างเรื่องสุขภาพ

  • ปฎิเสธที่จะพูดถึงเรื่องสุขภาพของคุณ เพราะยิ่งพูดถึงมากเท่าไร ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา คุณก็จะยิ่งรู้สึกว่าไข้มันจะหนักยิ่งขึ้น นอกจากนั้นการพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของคุณเป็นนิสันที่ไม่ดี เพราะมันจะทำให้คนอื่นเบื่อหน่าย มันทำให้ดูเหมือนคนที่สนใจแต่ตัวเอง คนที่มุ่งสู่ความสำเร็จสามารถเอาชนะความโน้มเอียงที่จะพูดเกี่ยวกับสุขภาพที่ไม่ดีของเขาได้นั้นเอง

  • เลิกกังวล หรือเป็นทุกข์หนักใจเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ เพราะหากยิ่งคิดมากเท่าไร จิตใจของคุณก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงเท่านั้น

  • เตือนตัวเองบ่อยๆว่า สึกไปดีกว่าเป็นสนิม ชีวิตเป็นของเราที่จะสนุกสนาน อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไป โดยมัวแต่คิดถึงแค่ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล

2. โรคอ้างเรื่อง “ความฉลาด”  ข้ออ้างเรื่องความฉลาดก็คือ แนวคิดที่ว่า ต้องหัวดีถึงจะประสบผลสำเร็จ หรืออาจจะเคยเจอ ใช่สิเธอฉลาดนิ ฉันไม่ฉลาดเท่าเธอ ฉันเลยทำไม่ได้ ข้ออ้างเช่นนี้เป็นเรื่องปกติมากเสียจนคน 95% รอบๆตัวเราใช้มันในอัตราต่างๆกัน ไม่เหมือนข้อแก้ตัวอื่นๆ คนถูกทรมานจากโรคนี้ จะเจ็บปวดแบบเงียบๆ มีคนไม่มากนักที่จะยอมรับว่าเขาไม่ฉลาดพอนั้นเองค่ะ  คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด 2 ประการหลักๆ เกี่ยวกับเรื่องความฉลาดคือ

1.) ประเมินหัวสมองตัวเองต่ำไป

2.) ประเมินหัวสมองของคนอื่นสูงเกินไป

เพราะคนส่วนมากประเมินตนเองต่ำเกินไปจึงไม่กล้าที่จะทำงานที่ยากขึ้น หรือท้าทาย เพราะงานเหล่านั้นต้องใช้หัวสมองชั้นยอด แต่จริงๆแล้ว คนที่ไม่สนใจเรื่องความฉลาดจะได้ทำงานนั้น สิ่งที่คุณจะต้องโฟกัสจริงๆไม่ใช่คุณฉลาดแค่ไหน แต่เป็นว่าคุณใช้สิ่งที่คุณมีอยู่อย่างไร ความคิดที่ชี้นำสมองคุณนั้นสำคัญกว่าความฉลาดของคุณนั้นเอง

วิธีแก้ โรค อ้างเรื่องความฉลาด

  • อย่าประเมินสมองของคุณต่ำเกินไป และอย่าประเมินสมองของคนอื่นสูงเกินไปเช่นกัน จงยึดมั่นกับสิ่งที่คุณมี ค้นหาตัวตน หาความสามารถพิเศษที่มี อย่าลืมว่าปริมาณสมองไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือวิธีคิดของคุณต่างหาก

  • เตือนตัวเองวันละหลายๆครั้งว่า “ทัศนคติสำคัญกว่าสมอง” ฝึกให้ตนเองมีทัศนคติเชิงบวกไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน ให้หาเหตุผลว่า ทำไมคุณจึงทำได้ ไม่ใช่หาเหตุผลว่า ทำไมคุณถึงทำไม่ได้  พัฒนาทัศนคติประเภทกำลังชนะ ไม่ใช่ให้พิสูจน์ว่าคุณแพ้

  • จำไว้ว่า ความสามารถที่จะคิด มีค่ามากกว่าความสามารถ ที่มีไว้จำเพียงข้อมูลตัวเลขมาก ใช้สมองของคุณสร้างและพัฒนาความคิด หาวิธีใหม่ๆในการที่จะทำสิ่งต่างๆ ถามตัวคุณเองว่า “ฉันจะใช้ความสามารถเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ หรือ จะใช้มันเพียงเพื่อที่จะบันทึกประวัติศาสตร์ที่คนอื่นสร้าง”

  1. โรค อ้างเรื่อง อายุ ข้ออ้างเรื่องอายุ คือ ไม่มีประโยชน์หลอก ผมแก่เกินไป หรือยังเด็กเกินไป ข้อแก้ตัวของเรื่องอายุ โรคของความล้มเหลวเขาจะคิดว่า อายุเขานั้นไม่เหมาะสมสักทีนี้มาในรูปแบบที่มองเห็นได้ชัดคือ ผมแก่เกินไปเสียแล้ว หรือผมยังเด็กเกินไป

วิธีกำจัดข้ออ้างเรื่อง อายุ

ยกกรณีศึกษาสองกรณีนะค่ะกรณีแรก ผู้เขียนได้พบกับชายคนหนึ่งเขานั้นอายุ 40 ปีแล้ว และต้องการที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากับบริษัทแห่งหนึ่ง  แต่เขาคิดว่าเขาแก่เกินไป เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว เขาพูด สรุปได้ว่าผมต้องเริ่มจากศูนย์ และด้วยอายุ 40 ปี ผมว่าผมแก่เกินไปแล้วที่จะเริ่ม

ในที่สุดก็พบวิธีที่ใช้ได้ผล ผู้เขียน ถามกลับว่า คนเราเริ่มทำงานจริงๆได้ตอนอายุเท่าไร

เขานึกชั่วครู่แล้วตอบกลับมาว่า “ผมคิดว่าราว 20 ปี”

“ถูกต้อง” และ คุณคิดว่าคนเราจะอายุเท่าไรถึงไม่สามารถทำงานได้ ชายวัย 40ปี ตอบกลับมา ผมว่าคนเราคงยังทำงานได้พอสมควรเมื่ออายุ 70 ปี

เอาละ คนจำมากยังคงทำงานได้เป็นอย่างดีแม้ว่าอายุจะ 70 ปีแล้วแต่สมมติเอาย่างที่คุณพูดว่าคนเราเริ่มทำงานตอนอายุ 20 ปี ถึง 70ปี เพราะฉะนั้นคนเราทำงานได้ประมาณ 50ปี คุณทำงานมากีปีแล้ว ชายวัย 40ปี ตอบ 20 ปี แล้วคุณยังเหลือเวลาทำงานได้อีกกี่ปี  30ปี เขาตอบ

เขาเริ่มตระหนักดีว่าเขาเข้าใจประเด็น เขาหายจากโรคชอบแก้ตัวด้วยอายุ

กรณีที่สอง เขาได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยสีหน้าความวิตกกังวล ในขณะที่เขากลุ้มเขากล่าวกับผมว่า ผมกำลังมีปัญหา บริษัทกำลังเสนอให้ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขายซึ่งทำให้ผมต้องคุมเซลส์แมนอีก 8 คน  “ยินดีด้วย  แจ๋วมาก” ผมพูด แต่ดูเหมือนคุณกำลังวิตกกังวล

“ครับ” เขาพูดต่อ เพราะเซลส์แมนทั้ง 8 คนที่ผมต้องดูแล ล้วนอายุมากกว่าผม 7 ปี ถึง 21 ปี คุณคิดว่าผมจะทำได้อย่างไร ผมจะคุมพวกเขาได้ไหม?

ผมว่า ผู้จัดการบริษัทคงได้พิจารณาแล้วว่าคุณเป็นผู้ใหญ่พอมิฉะนั้นเขาคงไม่เสนอตำแหน่งให้ คุณควรจำหลักการอยู่ สามข้อ หนึ่งไม่ต้องสนใจเรื่องอายุ สมัยก่อนที่คนส่วนใหญ่ทำไร่ทำนาเด็กผู้ชายจะเป็นผู้ใหญ่ก็เมื่อได้พิสูจน์ว่าเขาทำงานที่ผู้ใหญ่ทำได้ อายุไม่มีความสำคัญ คุณก็เช่นเดียวกัน เมื่อพิสูจน์ว่าคุณสามารถทำงานตำแหน่งนี้ได้ ก็คือว่าคุณแก่พอ สอง อย่าทำขี้โอ่กับตำแหน่งใหม่ และข้อสุดท้าย ทำตัวให้คุ้นกับการมีลูกน้องอายุมากเพราะต่อไปคุณอาจจะขึ้นต่ำแหน่งที่สูงกว่านี้ และมีลูกน้องที่แก่กว่านี้ไปอีก

4 โรคข้ออ้างเรื่อง “โชค” คุณอาจจะเคยได้ยินบ่อยเรื่อง โชคช่วย โชคไม่ดีบ้าง แต่อย่างไรก็ตามแทบจะไม่มีวันไหนที่เราจะไม่ได้ยินคนโทษว่าปัญหาเขาเกิดจากโชคไม่ดี และก็แทบจะไม่มีวันไหนอีกเช่นกันที่คุณจะไม่ได้ยินบางคนอ้างว่า ความสำเร็จของอีกคนหนึ่งนั้นเกิดจากโชคช่วย

หลักการที่จะเอาชนะข้ออ้างเรื่อง โชค

  • ยอมรับกฎของเหตุและผล ถ้าลองพิจารณาดีๆสิ่งที่ดูเหมือนโชคดี ของคนอื่น คุณจะพบว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของดวงแต่เป็นเรื่องของการเตรียมการ วางแผนมาแล้วว่าจะประสบผลสำเร็จซึ่งเป็นเรื่องที่มาก่อนโชค พิจารณาอีกครั้งของเรื่องที่ดูเหมือนเป็น โชคร้าย ของคนบางคน คุณจะพบเหตุผลที่แท้จริง นายสำเร็จเวลาพ่ายแพ้หรือล้มเหลวเขาจะเรียนรู้วิธีเอาชนะ แต่นายแพ้ เขาจะแพ้ และไม่รู้จัดจำนั้นเอง

  • อย่าเป็นคนเพ้อฝัน อย่าคิดให้เปลืองสมอง และฝันถึงวิธีการเอาชนะโดยที่ตัวคุณไม่ทำอะไรเลย คุณไม่อาจประสมผลสำเร็จได้จากโชคชะตาอย่างแน่นอน ความสำเร็จเกิดมาจากการกระทำและการเรียนรู้ อย่างลึกซึ้ง ถึงหลักการต่างๆที่ทำให้เกิดความสำเร็จ เน้นพัฒนาคุณสมบัติต่างๆที่คุณมี จะทำให้คุณเป็นผู้ชนะ

เมื่อคุณอ่านโรคทั้ง 4 โรคแล้วลองสังเกตตัวเองดูสิว่า คุณเองเป็นผู้ติดโรคร้ายหนึ่งใน 4 นี้ไปแล้วหรือยัง หากยังไม่พบถือว่าโชคดีไป หากพบแล้วก็ควรรักษาอย่างเร่งด่วนเลยนะค่ะ เพราะหากไม่รีบรักษา มันอาจจะลุกลาม ถึงขั้น โคม่าได้เลยละค่ะ

สุดท้ายนี้ผิงก็หวังว่าบทความนี้จะสามารถสร้างเสริมเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่าน หรือเป็นแรงผลักดันให้กับบุคคลที่เข้ามาอ่านกันนะค่ะ  ขอบคุณที่เข้ามารับชมค่ะ 🙂 SalineeChot

addfriends_en